

หลายคนอาจจะยังนึกไม่ออกว่าทำไมถึงต้องไปเที่ยว “ประเทศเอสโตเนีย” อยู่ที่ไหน? และมีอะไรดี? แต่เมื่อคุณได้มาแล้วคำถามเหล่านั้นจะหมดไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเอสโตเนียเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางยุโรปตะวันออก เมืองหลวงติดกับทะเลบอลติก ค่าครองชีพถูกกว่ายุโรปตะวันตกกว่าครึ่ง ที่สำคัญผู้คนน่ารักอัธยาศัยดี วิวทิวทัศน์สวยงามดุจภาพวาด และต่อไปนี้คือเรื่องราวที่ผู้เขียนได้หนีร้อนไปเริงร่าเที่ยวอำลาฤดูหนาวที่ประเทศเอสโตเนีย





ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่แรกก่อนเลยว่า จากประเทศไทยไปยังประเทศเอสโตเนียยังไม่มีสายการบินใดบินตรงไปลง แต่สามารถเลือกบินไปกับสายการบินฟินแอร์ได้ โดยบนตรงจากมหานครกรุงเทพไปลงที่กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ จากนั้นนั่งเครื่องบินต่อข้ามไปยัง “กรุงทาลลินน์” (Tallinn) เมืองหลวงของเอสโตเนีย หรือจะเลือกนั่งเรือเฟอร์รี่จากท่าเรือข้ามฟากจาก “เฮลซิงกิ เวสต์ ฮาร์เบอร์เทอร์มินอล 2” (Helsinki West Harbour Terminal 2) ประเทศฟินแลนด์ ข้ามไปยังทาลลินน์ก็สะดวกและชิลไปอีกแบบ โดยมีเรือออกเกือบทุกชั่วโมง ใช้เวลาในการเดินทางประมาณสองชั่วโมงกว่าสามารถเช็กได้ที่ Tallink โดยครั้งนี้ผู้เขียนเลือกใช้เรือเฟอร์รี่ข้ามฟากทะเลบอลติก เพราะต้องการความชิลและความตื่นเต้น



เครื่องบินของสายการบินฟินแอร์จากกรุงเทพฯ มาลงที่ท่าอากาศยานเฮลซิงกิ-วานตา (Helsinki-VantaaAirport : HEL) ประเทศฟินแลนด์ในช่วงเช้า ประมาณ 7 โมงกว่า จากนั้นก็นั่งแท็กซีไปยังท่าเรือข้ามฟากของเฮลซิงกิ เพื่อข้ามฟากไปยังท่าเรือทาลลินน์ ประเทศเอสโตเนียในช่วงสาย ที่ห่างกันราว 80 กิโลเมตร โดยบนเรือมีที่นั่งสบายหลายมุมให้เลือก พร้อมบาร์ เครื่องเล่นต่างๆ และมุมผ่อนคลายมากมาย หรือหากจะนั่งกินลมชมวิวช่วงท้ายเรือ เพื่อบิวท์อารมณ์ให้โลดแล่นบนเกลียวคลื่นมุ่งหน้าไปยังกรุงทาลลินน์ ประเทศเอสโตเนีย


เมื่อข้ามฟากมาถึงกรุงทาลลินน์ ก็เช็กอินเข้าพักที่โรงแรมเรดิสสันคอลเลกชั่น ทาลลินน์ (Radisson Collection Hotel, Tallinn) ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงทาลลินน์ ประเทศเอสโตเนีย เป็นโรงแรมแบบฮิปๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ได้แก่ การบริการที่พัก ที่มีมากถึง 287 ห้อง พร้อมห้องอาหารเช้าและอาหารค่ำ ที่จอดรถส่วนตัว ห้องออกกำลังกาย และบาร์ ตกแต่งแบบร่วมสมัย สามารถเดินชมเมืองอันโรแมนติกได้อย่างสะดวกสบาย (คลิก Radisson Collection Hotel, Tallinn)



ตกค่ำเราจองห้องอาหารเก๋ๆ ริมทะเลบอลติกไว้ ชื่อ โนอา เชฟส์ ฮอลล์ (NOA Chef’s Hall: NCH) ซึ่งที่ร้านอาหารแห่งนี้เป็นร้านที่มีเชฟได้รางวัลระดับมิชลินสตาร์มากมาย และเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ได้รับดาวมิชลินแห่งแรกในเอสโตเนีย รวมถึงการได้รับการโหวตจาก The Diners Club World’s 50 Best Restaurants Academy ภายในเน้นตกแต่งแบบกระจกโดยรอบ ส่วนภายในให้ความรู้สึกเคร่งขรึม มีอาหารเลิศรสและเครื่องดื่มรสชาติถูกปากให้เลือก (Note : ร้านตั้งอยู่ที่ Ranna tee 3 12112 Tallinn Tel (+372)58535881 คลิก NOA Chef’s Hall)




หลังจากกินอาหารค่ำเสร็จแล้ว ก็ออกเดินสำรวจเมืองทาลลินน์ยามค่ำคืนเล็กน้อย เพราะจริงๆ โปรแกรมหลักของทริปนี้คือต้องการไปสัมผัสกับชีวิตในชนบทของยุโรปตะวันออกมากกว่า ในช่วงกลางคืนหลัง 3 ทุ่มอาจจะเงียบหน่อย เพราะอากาศยังหนาวสิบกว่าองศาอยู่ เมื่อดึกหน่อยหลายคนจึงเลือกใช้ชีวิตในบ้านหรือห้องพักของตัวเองมากกว่า แต่บรรยากาศยามค่ำคืนก็มีเสน่ห์ไม่น้อยสลับกับมีฝนโปรยปรายลงมาเล็กน้อยบ้างในบางช่วง





รุ่งสายของวันถัดมา เรามุ่งหน้าไปยังนอกเมืองของเอสโตเนีย โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ฟาร์มชีส ที่“อังเดร ชีส ฟาร์ม” (Andre Cheese Farm) ตั้งอยู่ใน“ตาร์ทูมา” (Tartumaa) ซึ่งที่นี่เป็นผู้ผลิตรายย่อย แต่ขนาดของพื้นที่และขั้นตอนการผลิตนั้นเทียบเท่ากับผู้ผลิตขนาดใหญ่เลยทีเดียว โดยจุดเริ่มต้นเมื่อ 24 ปีก่อน “อังเดร” และภรรยา “เอริกา ปาบัส” (Erika Pabus) ได้ไปเรียนรู้การผลิตชีสที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ก่อนที่จะกลับมาเตรียมความพร้อมและสรรพกำลังในการที่จะมุ่งมั่นทำฟาร์มชีส โดยเริ่มจากวัว 20 ตัว จนปัจจุบันมีมากกว่า 360 ตัว พร้อมประสบการณ์อันเต็มเปี่ยมที่จะตอบได้ว่า นมกลายมาเป็นชีสได้อย่างไร?, ชีสเอสโตเนียที่ดีที่สุดในโลกทำอย่างไร? ทั้งหมดนี้คำตอบอยู่ในฟาร์มของอังเดรหมดแล้ว!
จากนั้นจึงโฉบหลังห้องผลิตและห้องเก็บชีสไปทักทายกับเจ้าลูกวัวพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ชั้นดี พร้อมด้วยอาหารอันโอชะที่พวกมันโหยหา ก่อนจะปิดท้ายด้วยการแวะไปชิมผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของอังเดร ชีส ฟาร์ม ไม่ว่าจะเป็นชีสหลากหลายรสชาติ ผลิตภัณฑ์แปรรูปเป็นของใช้ และบริโภคมากมาย
(Note : ฟาร์มตั้งอยู่ที่ Valvikese Village, Kambja Parish 62026 Tartu, Estonia อีเมล Erika@andrefram.ee หรือคลิก Andre Cheese Farm)




เดินทางต่อมาอีกก็มีเรื่องให้ทำสนุกๆ ที่พิพิธภัณฑ์นมเอสโตเนีย (Estonian Dairy Museum) ซึ่งเป็นเวิร์กช็อปทำขนมจากนมเคลือบช็อกโกแลต เมื่อย่างก้าวเข้ามาภายในมิวเซียมก็จะพบกับมัคคุเทศก์สาวที่แต่งองค์ด้วยชุดพื้นเมืองสไตล์เอสโตเนียนก่อนที่จะพาเดินชมห้องหับต่างๆ ที่จัดแสดงที่มาที่ไปและประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการรีดนมและการเก็บนมของชาวเอสโตเนียนในอดีต เพื่อเตรียมไว้บริโภคทั้งในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาวที่ต้องการพลังงานมากเป็นพิเศษ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการทำขนมจากนมแล้วนำไปเคลือบช็อกโกแลต ที่เริงร่าสุดก็ตอนที่มัคคุเทศก์เอสโตเนียนเธอบรรเลงเพลงดั้งเดิมด้วยหีบเพลงบายันสไตล์รัสเซียน แต่ชวนเต้นรำไม่หยุดหย่อน
(Note : มิวเซียม ตั้งอยู่ที่ H. Rebase Str. 1, Imavere Jarvamaa, Estonia, 72401 โทรศัพท์ +372389 7533, +372 503 3886 อีเมล info@piimandusmuuseum.eeหรือคลิก Estonian Dairy Museum)



จากนั้นในช่วงกลางคืน ได้เช็กอินเข้าพักที่ “โอบิคุโอรุ วิลล่า” (Ööbikuoru Villa) ที่พักสุดโรแมนติกตั้งอยู่ติดทะเลสาบท่ามกลางหมู่มวลหิมะอันขาวพิสุทธิ์ทางตอนใต้ของเอสโตเนีย ซึ่งที่นี่นอกจากจะมีอาหารท้องถิ่นเลิศรสและซาวน่า เพื่อเพิ่มอุณหภูมิให้แก่ร่างกายแล้ว ถ้ามาในช่วงฤดูร้อนที่นี่จะเหมาะกับกิจกรรมกลางแจ้ง ไม่ว่าจะเป็น กีฬากลางแจ้งทั้งบนบกและในทะเลสาบ งานแต่งงานอันโรแมนติก และคอนเสิร์ตสุดเพริศพริ้ง
(Note : ที่พักตั้งอยู่ที่ Villa Nightingale, Tiidu Village, Rouge vald, Varumaa County, 66296 Estonia โทรศัพท์ +372 509 9666 อีเมล villa@oruvilla.ee หรือคลิก Ööbikuoru Villa)





วันถัดมาเปลี่ยนบรรยากาศจากภายในมิวเซียมที่เต็มไปด้วยเรื่องราว มายังซาฟารีสุดหฤหรรษ์ที่ “ตูซิกันนู ไวลด์ไลฟ์ ปาร์ก (Toosikannu Wildlife Park) ซึ่งการจะมาท่องซาฟารีที่นี่จะต้องมาเริ่มต้นที่จุดสตาร์ท เพื่อวอร์มอัพร่างกายด้วยชาและกาแฟก่อนจะมีชายหนุ่มเอสโตเนียมรูปงามขับรถมินิมัสสีเหลืองสุดวินเทจราวกับรถโรงเรียนมารับ เพื่อขับมุ่งหน้าไปยังเขตป่าสงวนส่วนตัวของเอกชนรายหนึ่ง ซึ่งมีพื้นที่หลายพันเอเคอร์ซึ่งระหว่างที่ท่องซาฟารีก็จะได้พบสัตว์ป่าที่มีลักษณะเฉพาะของเอสโตเนีย อาทิ กวางแดง กวางมูส กวางโร หมาจิ้งจอก และกระต่าย เป็นต้น ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ส่วนใหญ่ตัดสลับกันระหว่างแมกไม้กับมวลหิมะอันขาวพิสุทธิ์
(Note : ติดต่อเกี่ยวกับการเข้าชมซาฟารี คลิก Toosikannu Wildlife Park)



ส่วนในช่วงค่ำ แวะมาสัมผัสประเพณีซาวน่าที่มีประวัติอันยาวนาน เป็นซาวน่าควัน ที่ “โวโรมาวิลล่า” (Võrumaa) ซึ่งถือปฏิบัติมานานในเอสโตเนียตอนใต้ จนได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมจากยูเนสโก ที่ “มูสกา ฟาร์ม” (Mooska Farm) ผู้มาเยือนสามารถสัมผัสมรดกทางวัฒนธรรมของเอสโตเนียเหล่านี้ได้ ด้วยทำเลที่ตั้งอันทรงพลัง ณ เชิงเขาวัลลาแม (Vällamäe) ที่อยู่ท่ามกลางชนบททางตอนใต้ของเอสโตเนียอันสวยสดงดงาม และเชื่อมต่อกันอย่างกลมกลืนกับวิถีชีวิตในไร่นากับสัตว์ป่าและมรดกของบรรพบุรุษโดยครอบครัวของ “วีโรจา” (Veeroja) ได้แบ่งปันประสบการณ์และค่านิยมในการดำเนินชีวิตรวมถึงแนะนำมรดกท้องถิ่นแก่ผู้มาเยือนอันภาคภูมิ รวมถึงอาหารท้องถิ่นดั้งเดิมอีกด้วย
(Note : มูสกา ฟาร์มตั้งอยู่ที่ Haanja village, Haanja parish Võrumaa 65601 Estonia โทรศัพท์ +372 503 2341 หรือคลิก Mooska Farm)
::สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในกลุ่มบอลติก ติดต่อ Baltic Country Holidays ตั้งอยู่ที่ LAUKUCELOTAJS Kalnciema Street 40, Riga, LV-1046โทรศัพท์ +371 292 857 56 อีเมล asnate@celotajs.lv หรือคลิก celotajs.lv