การบินไทย ชวนเติมหวานรับวาเลนไทน์ กับ 10 เมืองโรแมนติก “ยุโรป-เอเชีย”

ช่วงเวลาแห่งความสุขต้อนรับศักราชใหม่ในสายลมหนาวยังไม่จางไป “วาเลนไทน์” เทศกาลแห่งความรักก็เวียนมาบรรจบอีกครั้ง หนึ่งในสีสันชีวิตรักของคู่รักและครอบครัวคือ การเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่โรแมนติกเพื่อเติมความหวานให้รักล้นเสมอหากใครกำลังมีโปรแกรมนึกอยากจะเดินทางพาคนรักหรือครอบครัวไปเติมใจให้กันสานรักผูกพันยังดินแดนแสนโรแมนติกแล้วล่ะก็ ลองมาสำรวจ 10 เมืองน่าเที่ยวแถมโรแมนติกแถบยุโรป-เอเชียด้วยกันว่ามีที่ไหนน่าสนใจบ้าง...ตามมาเลย

1. กรุงปารีส (Paris)

ฝรั่งเศส (France) บินไปฝรั่งเศสทั้งทีต้องไม่พลาด กรุงปารีส มีสถานที่โรแมนติกมากมาย เริ่มจากแลนด์มาร์กที่หลายคนรู้จักกันดีนั่นก็คือ พระราชวังแวร์ซาย (Château de Versailles) ออกแบบและตกแต่งอย่างสวยงามตระการตา ด้วยจิตรกรรมและประติมากรรมประดับตกแต่งด้านนอกมีสวนแวร์ซายที่ยิ่งใหญ่ให้ถ่ายรูปที่ระลึก พระราชวังฟงแตนโบล (Château deFontainebleau) พระราชวังหลวงอันเก่าแก่และใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศสมีเป็นสัญลักษณ์สำคัญ คือ บันไดเกือกม้าด้านหน้าพระราชวังซึ่งเป็นสถานที่นโปเลียนเคยบัญชาการรบเพื่อขยายแสนยานุภาพไปทั่วทวีปยุโรปและมีห้องเลี้ยงรับรองสุดหรูเคยรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 อีกด้วย

2. กรุงโรม (Rome)

ประเทศอิตาลี (Italy) เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางสุดฮิตของนักท่องเที่ยวทั่วโลกส่วนใหญ่หลงใหลในประวัติศาสตร์,อนุสาวรีย์โบราณที่ล้ำค่า, แฟชั่น, อาหาร มีไฮไลต์ความงดงามโรแมนติกที่กรุงโรม (Rome) เมืองหลวงที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,800ปี และยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกัน ที่ประทับประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิกสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ อาทิ สนามกีฬาแห่งกรุงโรม (The colosseum of Rome) สิ่งมหัศจรรย์ของโลกแห่งนี้เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ที่เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียนแห่งอาณาจักรโรมันตัวสนามสร้างเป็นรูปตึกวงกลมก่อด้วยอิฐและหินขนาดใหญ่ โดยรอบยาว 527 เมตร สูง 57 เมตร มี 4 ชั้นอัฒจรรย์จุคนดูได้ประมาณ 80,000 คนเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันโบราณ น้ำพุเทรวี่ (The Trevi Fountain) มีความสวยงามทางสถาปัตยกรรมอย่างมากตรงกลางของน้ำพุมีรูปปั้นของเทพเจ้าเนปจูน (Neptune) ตามธรรมเนียมนักท่องเที่ยวที่มาชมน้ำพุ ควรโยน 1 เหรียญลงไปในสระ ซึ่งเชื่อกันว่าหากโยนลงไปจะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีกครั้งคู่รักต้องไม่พลาดโยนเหรียญด้วยกัน

3. เวียนนา (Vienna)

เริ่มกันที่ทวีปยุโรป ประเทศแรกคือ ออสเตรีย (Austria)ใครที่หลงใหลดนตรีคลาสสิกศิลปะ ความงดงามแห่งศิลปะ และสถาปัตยกรรม ท่ามกลางบรรยากาศแสนโรแมนติก ต้องนึกถึง เวียนนา (Vienna) เมืองหลวงที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในโลก มีสถานที่ท่องเที่ยวไม่ควรพลาด อาทิ พระราชวังมรดกโลก-พระราชวังเชินบรุนน์ (Schoenbrunn Palace) พระราชวังฤดูร้อนอันยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ฮับส์บวร์กสร้างขึ้นปลายศตวรรษที่ 17 จัตุรัสสเตฟาน (Stephansplatz) ศูนย์กลางกรุงเวียนนาผู้คนมากมายนิยมมาเที่ยวที่จัตุรัสแห่งนี้ เพราะเป็นที่ตั้งของ มหาวิหารเซนต์สตีเฟน (St. Stephen) สัญลักษณ์ของเมืองและสำคัญที่สุดของออสเตรีย ด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่อ่อนช้อยงดงามมากเมื่อมาถึงเวียนนาจะไม่แวะ บ้านดนตรี (House of Music) ก็ถือว่าพลาด ภายในบ้านดนตรีได้จัดสรรพื้นที่เป็นห้องพิพิธภัณฑ์ทางดนตรีของเหล่าศิลปินชื่อก้องโลกอย่างบีโธเฟ่น (Ludwigvan Beethoven), โมสาร์ต (Wolfgang Amadeus Mozart), โยฮัน สเตราส (Johann Strauss) จากนั้นแวะไปชิงช้าสวรรค์ (Riesenrad) ขนาดยักษ์สูงกว่า 200 ฟุต เป็นชิงช้าสวรรค์ที่อยู่คู่เวียนนามาตั้งแต่ ค.ศ.1879 การได้ขึ้นไปนั่งพร้อมคนรักชมวิวเมืองแสนสวย คือ โมเม้นต์แสนวิเศษ

4. ชัยปุระ (Jaipur)

มาฝั่งเอเชียกันบ้างเริ่มที่ประเทศอินเดีย ต้องไม่พลาดเมืองที่ได้รับความนิยมสูงอย่าง “ชัยปุระ” (Jaipur) หรือ “นครสีชมพู” ซึ่งสมญานามนี้เกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ.1876 ครั้งที่อินเดียยังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษมหาราชาราม ซิงห์ (Maharaja Ram Singh) ได้เสด็จประพาสและสั่งให้ราษฎรทาสีเมืองทับปูนเก่าให้เป็นสีชมพูทั้งหมดเพื่อรับเสด็จเจ้าชายแห่งเวลส์ (Prince of Wales) ซึ่งต่อมา คือ สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 (King Edward VII) แห่งสหราชอาณาจักร ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมที่น่าสนใจหลายแห่งที่งดงามอาทิพระราชวังหลวงแห่งเมืองชัยปุระ หรือ ซิตี้ พาเลซ (City Palace)ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ถึง1 ใน 7 ของใจกลางเมือง ประกอบไปด้วยพิพิธภัณฑ์ สวัย มาน ซิงห์ ที่รวบรวมสมบัติของพระราชวงศ์, ส่วนแสดงชุดศึกสงคราม,ส่วนศิลปะภาพวาดและรูปถ่าย และยังมีส่วนที่เป็นพระราชวัง ซึ่งปัจจุบันเป็นที่พำนักของผู้สืบเชื้อสายมหาราชาเมืองชัยปุระองค์ปัจจุบันพระราชวังแห่งสายลมฮาวามาฮาล (Palace of the Wind-Hawa Mahal) อาคารมี 5 ชั้น เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์เปอร์เซียกับโมกุลความสวยงาม คือ มองจากด้านหน้าจะเห็นหน้าต่างเล็กๆ มากถึง 953 บาน จนดูเหมือนรังผึ้ง ทำให้ ฮาวามาฮาล กลายเป็นหนึ่งในไอคอนของชัยปุระ ประตูปาตริกา (The PatrikaGate) วงเวียนจาวาฮาร์ (Jawahar Circle) การสร้างประตูนี้มีการระดมความคิดในการสร้างให้ตรงตามประเพณีโบราณของเมือง ทำให้ประตูปาตริกา มี 9โดม มี 7 ซุ้มประตู แต่ละซุ้มมีภาพวาดสีสันสวยงาม บอกเล่าประวัติศาสตร์ของแคว้นราชสถานนับเป็นจุดถ่ายภาพที่สวยมากโดยเฉพาะช่วงเย็นดวงอาทิตย์จะสาดแสงเฉียงทำมุมกับซุ้มประตู ทำให้เกิดมิติแสงเงา

5. โอซากา (Osaka)

มาถึงอีกประเทศสุดฮิตนั่นคือ ญี่ปุ่น เต็มไปด้วยเมืองน่าเที่ยวเติมความหวานขอแนะนำไปแล้วฟิน แน่ๆ เริ่มที่ โอซากา (Osaka) เมืองที่ใหญ่อันดับสองของญี่ปุ่น ขึ้นชื่อด้านอาหารในราคาย่อมเยานอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคัง (Kaiyukan) ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ รวมไปถึง ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ (Universal Studio) แห่งญี่ปุ่น และสวนลอยน้ำ (FloatingGarden Observatory) และหากคนรักชอบเดินช้อปปิ้งต้องห้ามพลาดย่านถนนชินไซบาชิ ตั้งแต่กลางวันไปจนถึงดึกๆ เลยทีเดียว

6. นาโกยา (Nagoya)

เมืองแห่งประวัติศาสตร์ ที่มีทั้งความเก่าแก่สวยงามแบบดั้งเดิมของสถานที่ท่องเที่ยวและมีความทันสมัยภายในตัวเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสี ทำให้เที่ยวได้ครบรส จุดที่ไม่ควรพลาดชม เป็นต้นว่าปราสาทนาโกยา สร้างขึ้นเมื่อค.ศ.1612 และได้รับการบูรณะใหม่ในปี 1959 นอกจากตัวปราสาทแล้วยังมีรูปสลักปลาหัวเสือทองคำ Kinshachi ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนาโกยา อีกด้วย มิดเดิลสแควร์ (MidlandSquare) อาคารสูงที่สุดของเมืองนาโกยา มีจำนวน 47 ชั้น ตัวอาคารประกอบด้วยศูนย์การค้า ร้านอาหาร ออฟฟิศ และ Sky Promenade ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ความสูง 220 เมตร (ชั้น 44-46)ถือเป็นจุดชมวิวแบบ Open-air ที่สูงที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วยปราสาทอินุยามะ เป็นอีกหนึ่งปราสาทที่มีความสวยงาม สงบ และเหมาะกับใครที่ชอบเก็บภาพสวยๆเพราะรายล้อมด้วยธรรมชาติสวยงาม เก่าแก่กว่า 500 ปี และเป็นศิลปะแบบดั้งเดิม

7. ฟุกุโอกะ (Fukuoka)

ตั้งอยู่บนเกาะคิวชูขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเล นอกจากนี้ ยังเป็นถิ่นกำเนิดของบะหมี่ราเม็งอันลือชื่อของญี่ปุ่นฉะนั้น การไปเยือนฟุกุโอกะ แล้วไม่ได้ลิ้มรสราเม็ง ถือว่าพลาดอย่างแรงโดยเฉพาะร้านราเม็งข้างทาง และยังนับเป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี จนได้ฉายาว่าเป็นเมืองเครียดน้อยที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย

8. เซนได (Sendai)

และอีกเมืองที่ไม่ควรพลาด คือ เซนได (Sendai) เป็นหนึ่งในเจ็ดของเมืองใหญ่ที่สุดบนเกาะที่ใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น รู้จักกันดีในฉายา “เมืองแห่งต้นไม้” มีอากาศเย็นสบายตลอดปี จุดเด่นของเมืองเซนไดคือ ธรรมชาติที่สวยงาม อย่าง อ่าวมัตสึชิมะ (Matsushima) ก็ถูกจัดให้เป็น 1ใน 3 แหล่งท่องเที่ยวที่มีทิวทัศน์สวยงามที่สุดของญี่ปุ่นซึ่งสามารถล่องเรือชมเกาะและนกนางนวลได้สำหรับจุดชมวิวของเมืองและถือเป็นสัญลักษณ์ คือ ปราสาทเซนไดหรือ ปราสาทโอบะ (Aoba) สามารถมองเห็นวิวของเมืองในมุมมองแบบพาโนรามาและไม่ควรพลาด นอกจากนี้ ยังมีจุดที่ต้องเช็คอิน และรับประกันว่าโดนใจทุกคู่รักแน่นอนดังนี้ ย่าน “คกคุบุงโจ” ถนนโจเซ็นจิ ย่านที่เต็มไปด้วย ร้านค้า ร้านอาหารคาเฟ่ เก๋ๆ น่านั่ง แล้วถ่ายรูปชิลล์ๆ อัปขึ้นโซเชียลให้คนอื่นอิจฉาจากนั้นหาเวลาไป แช่ออนเซ็นซาคุนามิ และ อะคิอุ เพลิดเพลินผ่อนคลายไปกับการแช่น้ำพุร้อนที่จะได้ยินเสียงน้ำไหล ช่วยให้ผ่อนคลาย ฟินในบรรยากาศที่โอบล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ และธรรมชาติที่สมบูรณ์

9. กรุงโซล (Seoul)

มาที่ประเทศเกาหลีใต้กันบ้าง เริ่มกันที่ กรุงโซล (Seoul) นอกจากเป็นเมืองหลวงแล้วยังเป็นหนึ่งในเมืองที่ผู้คนนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวตลอดทั้งปี เพราะมีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังอันสวยงามสถานที่ช้อปปิ้งที่มีสินค้าให้เลือกทุกประเภท และแหล่งบันเทิงต่างๆที่น่าสนใจมากมายอาทิ พระราชวังเคียงบกกุง (Gyeongbokgung Palace) เป็นทั้งสัญญลักษณ์และแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของกรุงโซลมีพระราชวังที่มีขนาดใหญ่และสวยงามที่สุดที่สุดของเมือง สร้างขึ้นในปี 1395 มีชื่อเรียกทั่วไปว่าพระราชวังทิศเหนือ(Northern Palace) โซลทาวเวอร์หรือนิวโซลทาวเวอร์ (N Seoul Tower) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองโซลสามารถชมวิวเมืองโซลและบริเวณรอบๆแบบ พาโนราม่า นับว่าเป็นหนึ่งในทาวเวอร์ที่ให้วิวสวยที่สุดในเอเชียนอกจากนี้ยังเป็นที่คล้องกุญแจชื่อดัง (Love Key Ceremony) ที่มีความเชื่อว่าคู่รักที่มาคล้องกุญแจที่นี่จะมีความรักที่ยืนยาวไปตลอดกาล หมู่บ้านบุคชอนฮันอก (Bukchon HanokVillage) อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองโซลและประเทศเกาหลี ล้อมรอบด้วยพระราชวังต่างๆภายในหมู่บ้านมีอาคารแบบดั้งเดิมของเกาหลีกว่า 100 หลัง ที่เรียกว่าฮันอก (hanok) ซึ่งเก่าแก่มาตั้งแต่สมัยโชซอน ลอตเต้เวิล์ดทาวเวอร์และลอตเตเวิล์ดมอลล์ (Lotte World Tower & Lotte World Mall) สถาปัตยกรรมอาคารที่โดดเด่นมีแรงบันดาลใจจากภาพวาดเซรามิกเกาหลี และพู่กันเขียน เป็นตึกที่สูงเป็นลำดับที่ 6ของโลก (556 เมตร)

10. ปูซาน (Busan)

อีกเมืองเด่นของเกาหลีใต้ ที่อยากชวนไปสัมผัสเสน่ห์ คือ “ปูซาน” เพราะเต็มไปด้วยแลนด์มาร์กน่าไปเช็กอิน อาทิชายหาดซองโด (Songdo Beach)มีป่าสนปลายหาดให้ได้เดินเล่นลัดเลาะไปชมนอกจากนี้ ยังมีทางเดินยื่นยาวลงไปในทะเล พื้นเป็นกระมองลงไปเห็นน้ำทะเลใสๆ แต่ถ้าอยากตื่นเต้นมากกว่านี้ให้ลองขึ้นกระเช้าลอยฟ้านั่งข้ามจากหาดซองโด ไปเกาะยองโดหมู่บ้านวัฒนธรรมกัมชอน (Gamcheon Culture Village) อีกหนึ่งแลนด์มาร์ก โดดเด่นด้วยสีสัน และรูปแบบอาคารสิ่งก่อสร้างเก่าแก่มีเอกลักษณ์ล้อมรอบด้วยภูเขาให้มุมสวยๆ แบบพาโนรามา หอคอยปูซาน (Busan Tower)มีความสูงถึง 120 เมตรตั้งอยู่ในสวนสาธารณะยงดูซาน สามารถขึ้นไปชมเมืองปูซานได้แบบ 360 องศา ใครที่อยากคล้องกุญแจสัญญารัก ก็มาที่นี่ได้ถนนนัมโพดง (Nampodong Street) ถูกใจคู่รักขาช้อปฯ แน่นอน นอกจากจะมีร้านค้าตั้งเรียงรายซ้ายขวาทั้งแบรนด์เนมและแฮนด์เมดแล้ว ยังมีคาเฟ่เก๋ๆ ร้านเครื่องสำอาง ร้านอาหารคึกคักทั้งกลางวันกลางคืนเลยทีเดียวแหละ

พออ่านมาถึงตรงนี้ หลายครอบครัว หลายคู่รัก คงอยากจะเตรียมวางแผนพาคนที่รักบินไปเติมหวานรับเทศกาล “วาเลนไทน์” ในเดือนกุมภาพันธ์กันแล้ว ด้วยวันนี้สายการบินแห่งชาติ “การบินไทย” ทำให้การบินตรงไปยัง 10 เมือง ฝั่งยุโรปและเอเชีย นั้นแสนง่ายสะดวกสบาย กับโปรโมชั่นต้อนรับเทศกาลแห่งความรัก “Happy in Love” ด้วยราคาบัตรโดยสารไป-กลับเมืองโรแมนติก สุดพิเศษ ดังนี้ ประเทศออสเตรีย กรุงเวียนนา (Vienna) เริ่มต้นที่ 23,185 บาท/ท่าน ประเทศฝรั่งเศส กรุงปรารีส (Paris) เริ่มต้นที่ 22,935 บาท/ท่าน ประเทศอิตาลี กรุงโรม (Rome) เริ่มต้นที่ 23,040 บาท/ท่านประเทศอินเดีย ชัยปุระ (Jaipur) เริ่มต้นที่ 12,210 บาท/ท่าน ประเทศญี่ปุ่น เริ่มต้นที่ 15,425 บาท/ท่าน และประเทศเกาหลีใต้ เริ่มต้นที่ 12,970 บาท/ท่าน

สามารถจองบัตรโดยสารได้แล้ว ตั้งแต่วันนี้ถึง 13 มีนาคม 2563 บินสู่ทุกจุดหมาย #สบายต่างกัน #Thaiairways#iflyTHAI สนใจเพียงคลิก https://bit.ly/2UwVP2t


LATEST ARTICLES
TOP Share
Social